การสื่อสารผ่านดาวเทียม เป็นการสื่อสารที่มีสถานีรับอยู่ที่พื้นดิน
ส่งตรงขึ้นไปยังดาวเทียมแล้วส่งลงมายังตัวรับที่พื้นดินอีกครั้งหนึ่ง
ดาวเทียวจึงเสมือนเป็นสถานีถ่ายทอดสัญญาณที่ดียิ่ง
เพราะลอยอยู่บนท้องฟ้าในระดับสูงมาก
ประเทศไทยเริ่มใช้ดาวเทียมสื่อสารครั้งแรกตั้งแต่ ปี พ.ศ.
2510 การสื่อสารแห่งประเทศไทยตั้งสถานีภาคพื้นดินที่อำเภอศรีราชา ชลบุรี
โดยเช่าช่องสัญญาณจำนวน 13 ช่องสัญญาณ
เพื่อการติดต่อสื่อสารระหว่างประเทศดาวเทียมที่ใช้ในยุคแรกเป็นของบริษัท ยูอาร์ซีเอ
ซึ่งเป็นดาวเทียมทางทหารของสหรัฐอเมริกา
ใน พ.ศ. 2522
สถานีโทรทัศน์ในประเทศไทยได้มีการขยายเครือข่ายทั่วประเทศ
ในการนี้มีการเช่าช่องสัญญาณจากดาวเทียมปาลาปาของอินโดนีเซีย
ทำให้ระบบการถ่ายสัญญาณโทรทัศน์ของประเทศไทยกระจายไปยังเมืองใหญ่ๆ ได้ทั่วประเทศ
จานรับสัญญาณดาวเทียมปาลาปามีขนาดใหญ่เส้นผ่าศูนย์กลาง 1-3 เมตร
ซึ่งนับว่าเป็นจานขนาดใหญ่พอสมควร
การถ่ายทอดสัญญาณโทนทัศน์ผ่านดาวเทียมทำได้ง่ายเพราะไม่ต้องเสียเวลาเดินสายหรือเชื่มโยงด้วยไมโครเวฟ
ดาวเทียมค้างฟ้า
เป็นดาวเทียมที่ต้องอยู่บริเวณเหนือเส้นศูนย์สูตรและโคจรรอบโลก 1 รอบ ใน 1 วัน
พอดีกับเวลาที่โลกหมุนรอบตัวเอง ระดับความสูงและความเร็วในการโคจรต้องเหมาะสม
ดาวเทียมค้างฟ้าที่ใช้สื่อสารอยู่ในระดับความสูง 42,184.2 กิโลเมตร
การสื่อสารผ่านดาวเทียมในประเทศไทยจึงเป็นอีกก้าวหนึ่งที่ทำให้ประเทศไทยมีทางเลือกของการสื่อสารมากขึ้น
การรับรู้ข้อมูลข้าวสารจะทำได้เร็วขึ้น
การส่งสัญญาณผ่านดาวเทียมเป็นหนทางหนึ่งที่จะส่งไปยังพื้นที่ใดๆ ก็ได้ในประเทศ
แม้จะอยู่ในป่าเขาหรือมีสิ่งกีดขวางภาคพื้นดิน
ดังนั้นการกระจายข่าวสารในอนาคตจะมีบทบาทเพิ่มขึ้น
การใช้ข้อมูลข่าวสารจะเจริญเติบโตไปพร้อมกับความต้องการ
หรือการกระจายตัวของระบบสื่อสาร
ศูนย์ฯ
มีหน้าที่ในการให้บริการวิชาการที่เกี่ยวข้องกับการแปลข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียม
โดยเฉพาะในด้านการเกษตร การสำรวจทรัพยากรธรรมชาติ การเตือนภัยพิบัติ
ซึ่งสามารถนำไปวิเคราะห์ต่อยอดการใช้งานภายในหน่วยงาน โดยปัจจุบันศูนย์ฯ
ได้มีการให้บริการร่วมกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
ในเรื่องการวิเคราะห์ภัยดินถล่ม และการแจ้งเตือนภัยพิบัติ
กรมชลประทานในเรื่องการติดตามการใช้ประโยชน์พื้นที่ชลประทาน
และสำนักฝนหลวงและการบินการเกษตรในเรื่องการวิเคราะห์พื้นที่แห้งแล้ง
หรือแม้แต่หน่วยงานภายในที่ร้องขอข้อมูลเพื่อใช้ในการประเมินความเปลี่ยนแปลงของพื้นที่
และผลงานที่ผ่านมาของศูนย์ฯ ได้แก่
1.
การประเมินปัจจัยเสี่ยงภัยดินถล่มด้วยภาพถ่ายดาวเทียม
เนื่องจากปัจจัยในการเกิดดินถล่มในประเทศไทยมีปัจจัยหลักๆ
อยู่เพียง 6 ชนิด ที่ประกอบไปด้วยปัจจัยทั้งที่คงที่ และไม่คงที่
โดยการประยุกต์ใช้ภาพถ่ายดาวเทียมสำรวจทรัพยากรธรรมชาติ และดาวเทียมอุตุนิยมวิทยา
จะทำให้สามารถช่วยในการประเมินปัจจัยได้อย่างเหมาะสมได้แก่ ปริมาณน้ำฝน ความสูง
ความชัน และสิ่งปกคลุมดิน ซึ่งจะนำไปสร้างเป็นแผนที่โอกาศเกิดดินถล่ม
2. การประเมินความชุ่มชื้นในดินร่วมกับภาพ HSI
เป็นการวิจัยเพื่อใช้ในการวัดค่าความชุ่มชื้นในดิน
เพื่อนำมาวิเคราะห์ในเรื่องสภาพความเหมาะสมในการเพาะปลูก ว่าควรจะปลูกพืชประเภทไหน
การชลประทานในเรื่องการจัดการด้านน้ำ การเสี่ยงภัยในการเกิดภัยพิบัติ โดยใช้ภาพถ่าย
Hyper Spectrum มาตรวจสอบ เพื่อให้เห็นความเปลี่ยนแปลงของสภาพพื้นที่
ซึ่งผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็คือ
ความสามารถในการคาดการณ์ปริมาณความชุ่มชื้นในดินที่ความลึก 30 และ 60 เซนติเมตร
เพื่อนำไปประเมินทรัพยากรหรือความเหมาะสมในด้านการเกษตร
หรือการจัดการทรัพยากรธรรมชาติได้
ขั้นตอนและวิธีการในการประเมินความชุ่มชื้นภายในดินกับการพยากรณ์จากภาพถ่ายดาวเทียม
3. การตรวจสอบพื้นที่การเกษตรด้วย Spectrum Library
เป็นการสร้าง Spectrum Library สำหรับพืชเศรษฐกิจ 5
ชนิด ได้แก่ ข้าว มันสัมปะหลัง อ้อย ยางพารา และสัปปะรด
โดยการวัดค่าอ้างอิงจากในพื้นที่เพาะปลูก เพื่อสร้าง Spectrum
และนำไปเปรียบเทียบกับภาพถ่ายดาวเทียมแบบ Hyperspectrum
ทำให้สามารถทราบได้ถึงพื้นที่ในการเพาะปลูกได้อย่างชัดเจน
ลักษณะของ Spectrum พืช 5 ชนิดได้แก่ ข้าว อ้อย
สัปปะรด มันสัมปะหลัง และยางพารา ช่วงของสเปคตรัมของพืช 5 ชนิดในย่านสีน้ำเงิน
เขียว และแดงที่ใช้ในการพิจารณาร่วมกับภาพถ่ายดาวเทียมแบบ Hyper Spectrum
4. การตรวจจับความเปลี่ยนแปลงของพื้นที่
เป็นการติดตามสถานการณ์ของทรัพยากรธรรมชาติที่ส่งผลกระทบรุนแรงในพื้นที่ของประเทศไทย
ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์น้ำของประเทศ การวิเคราะห์พื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก
การบุกรุกป่าไม้ และพื้นที่อุทยานแห่งชาติ ปัญหาเรื่องมลพิษทางอากาศ
และการกัดเซาะชายฝั่ง เป็นต้น รวมถึงการติดตาม
และประเมินความเสียหายของพื้นที่จากภัยพิบัติ
การออกแบบระบบสื่อสารสำรองในภาวะภัยพิบัติ
ด้วยการบูรณาการภาพถ่ายดาวเทียมร่วมกับปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งการดำเนินการตามภารกิจดังกล่าวเป็นตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงของพื้นที่
และวิเคราะห์ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นโดยอ้างอิงจากฐานข้อมูลที่มี
รวมถึงสร้างคลังข้อมูลสำหรับใช้ในการตรวจสอบในด้านทรัพยากรธรรมชาติ
การติดตามสถานการณ์น้ำ (ซ้าย)
บริเวณพื้นที่เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ตั้งแต่วันที่ 6 มีนาคม 2552 จนถึง 19 มกราคม
2553 และ (ขวา) บริเวณพื้นที่เขื่อนศรีนครินทร์แบบ 3 มิติ ในช่วง 14 พฤศจิกายน 2552
จนถึง 4 กุมภาพันธ์ 2553 ด้วยข้อมูลภาพ CCD จากดาวเทียม SMMS
โดยติดตามการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ และการใช้ประโยชน์พื้นที่
5. การแยกแยะผลผลิตทางการเกษตรด้วยการใช้ Spectrum
จากภาพถ่ายดาวเทียม
สืบเนื่องจากจากการตรวจสอบพื้นที่การเกษตร
ทำให้คณะผู้วิจัยสามารถแยกแยะช่วงอายุของพืชออกจากกันได้
ซึ่งจะทำให้สามารถประเมินผลผลิตที่เกิดจากการเกษตรได้เป็นอย่างดี
โดยการวิจัยนี้จะต้องวัดค่า Spectrum ของพืชในแต่ละช่วงอายุมาสร้าง Spectrum
Library
เพื่อให้ภาพถ่ายดาวเทียมสามารถแยกแยะและประเมินพื้นที่ในการเกิดผลผลิตทางการเกษตรได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ
Spectrum Library ของข้าวในพื้นที่หนองจอก กรุงเทพฯ
โดยตรวจสอบข้าวในแต่ละช่วงอายุ ซึ่งมีความแตกต่างกัน
6. การประเมินการออกแบบและติดตั้งเสาวิทยุ หรือสถานี
สำหรับการวิจัยนี้เป็นการนำข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมไปใช้ร่วมกับข้อมูล
G-DEM เพื่อนำไปประเมินในการสร้างการติดตั้งเสาส่งสัญญาณ ว่ามีรัศมีครอบคลุมเท่าไหร
และความคมชัดเป็นอย่างไรในการติดต่อสื่อสาร ซึ่งเป็นพื้นฐานหลักในการทำงานทุกประเภท
และในกรณีเกิดภัยพิบัติยังสามารถนำไปวิเคราะห์ในการติดตั้งระบบสื่อสารสำรองได้เป็นอย่างดี
การใช้ภาพถ่ายดาวเทียม SMMS ประยุกต์ร่วมกับข้อมูล
G-DEM
เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ในการติดตั้งอุปกรณ์การสื่อสารสำรองในพื้นที่เกิดภัยพิบัติ
ด้วยซอฟต์แวร์ Global Mapper
ในอนาคตสถานีภาคพื้นดินจะได้รับการปรับปรุงเพิ่มเติมเพื่อให้สามารถรับภาพถ่ายแบบ
SAR จากดาวเทียมดวงอื่นๆ ภายใต้ความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน
ซึ่งเป็นภาพถ่ายทะลุเมฆ
และอาจนำมาใช้เป็นข้อมูลร่วมเพื่อบริหารจัดการภัยพิบัติได้มากยิ่งขึ้น
และเป็นฐานข้อมูลในการวิเคราะห์ความเปลี่ยนแปลงต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องกับกับทรัพยากรธรรมชาติของประเทศไทยอีกด้วย
|
ดาวเทียม (Satellite)
ได้รับการพัฒนาขึ้นมาเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดของสถานีรับ-ส่งไมโครเวฟบนผิว
โลก
วัตถุประสงค์ในการสร้างดาวเทียมเพื่อเป็นสถานีรับ-ส่งสัญญาณไมโครเวฟบนอวกาศ
และทวนสัญญาณในแนวโคจรของโลก
ในการส่งสัญญาณดาวเทียมจะต้องมีสถานีภาคพื้นดินคอยทำหน้าที่รับและส่งสัญญาณ
ขึ้นไปบนดาวเทียม ที่โคจรอยู่สูงจากพื้นโลก 22,300 ไมล์
โดยดาวเทียมเหล่านั้นจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่เท่ากับการหมุนของโลก
จึงเสมือนกับดาวเทียมนั้นนิ่งอยู่กับที่ขณะที่โลกหมุนรอบตัวเอง
ทำให้การส่งสัญญาณไมโครเวฟจากสถานีหนึ่งขึ้นไปบนดาวเทียมและการกระจายสัญญาณ
จากดาวเทียมลงมายังสถานีตามจุดต่างๆ บนผิวโลกเป็นไปอย่างแม่นยำ
เราสามารถส่งดาวเทียมชนิด Geostationary
ซึ่งหมุนโคจรด้วยความเร็วเท่ากับโลก โดยนำขึ้นไปโคจรเหนือผิวโลกเพียง 3 ดวง
ก็สามารถครอบคลุมการสื่อสารได้ทั่วโลก
ดาวเทียมดวงหนึ่งส่งสัญญาณในบริเวณกว้างเท่ากับ 1 ใน 3 ของโลก (120 องศา)
ดังนั้นดาวเทียมเพียง 3 ดวงก็คลอบคลุมบริเวณพื้นโลกได้ทั้งหมด (360 องศา)
ดาวเทียมสามารถโคจรอยู่ได้โดยอาศัยพลังงานแสงอาทิตย์ โดยแผงโซลาร์ (Solar
Cell) บนดาวเทียมจะรับพลังงานจากแสงอาทิตย์มาเปลี่ยนใช้งาน
ข้อดีและข้อเสียของระบบดาวเทียม
ข้อดี
1. ส่งสัญญาณครอบคลุมไปยังทุกจุดของโลกได้
2. ค่าใช้จ่ายในการให้บริการส่งข้อมูลของระบบดาวเทียมไม่ขึ้นอยู่กับระยะทางที่ห่างกันของสถานีพื้นดิน
ข้อเสีย
มีเวลาหน่วง (Delay Time) ในการส่งสัญญาณ
|
ดาวเทียม (Satellite)
ได้รับการพัฒนาขึ้นมาเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดของสถานีรับ-ส่งไมโครเวฟบนผิว
โลก
วัตถุประสงค์ในการสร้างดาวเทียมเพื่อเป็นสถานีรับ-ส่งสัญญาณไมโครเวฟบนอวกาศ
และทวนสัญญาณในแนวโคจรของโลก
ในการส่งสัญญาณดาวเทียมจะต้องมีสถานีภาคพื้นดินคอยทำหน้าที่รับและส่งสัญญาณ
ขึ้นไปบนดาวเทียม ที่โคจรอยู่สูงจากพื้นโลก 22,300 ไมล์
โดยดาวเทียมเหล่านั้นจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่เท่ากับการหมุนของโลก
จึงเสมือนกับดาวเทียมนั้นนิ่งอยู่กับที่ขณะที่โลกหมุนรอบตัวเอง
ทำให้การส่งสัญญาณไมโครเวฟจากสถานีหนึ่งขึ้นไปบนดาวเทียมและการกระจายสัญญาณ
จากดาวเทียมลงมายังสถานีตามจุดต่างๆ บนผิวโลกเป็นไปอย่างแม่นยำ
เราสามารถส่งดาวเทียมชนิด Geostationary
ซึ่งหมุนโคจรด้วยความเร็วเท่ากับโลก โดยนำขึ้นไปโคจรเหนือผิวโลกเพียง 3 ดวง
ก็สามารถครอบคลุมการสื่อสารได้ทั่วโลก
ดาวเทียมดวงหนึ่งส่งสัญญาณในบริเวณกว้างเท่ากับ 1 ใน 3 ของโลก (120 องศา)
ดังนั้นดาวเทียมเพียง 3 ดวงก็คลอบคลุมบริเวณพื้นโลกได้ทั้งหมด (360 องศา)
ดาวเทียมสามารถโคจรอยู่ได้โดยอาศัยพลังงานแสงอาทิตย์ โดยแผงโซลาร์ (Solar
Cell) บนดาวเทียมจะรับพลังงานจากแสงอาทิตย์มาเปลี่ยนใช้งาน
ข้อดีและข้อเสียของระบบดาวเทียม
ข้อดี
1. ส่งสัญญาณครอบคลุมไปยังทุกจุดของโลกได้
2. ค่าใช้จ่ายในการให้บริการส่งข้อมูลของระบบดาวเทียมไม่ขึ้นอยู่กับระยะทางที่ห่างกันของสถานีพื้นดิน
ข้อเสีย
มีเวลาหน่วง (Delay Time) ในการส่งสัญญาณ
|
ดาวเทียม (Satellite)
ได้รับการพัฒนาขึ้นมาเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดของสถานีรับ-ส่งไมโครเวฟบนผิว
โลก
วัตถุประสงค์ในการสร้างดาวเทียมเพื่อเป็นสถานีรับ-ส่งสัญญาณไมโครเวฟบนอวกาศ
และทวนสัญญาณในแนวโคจรของโลก
ในการส่งสัญญาณดาวเทียมจะต้องมีสถานีภาคพื้นดินคอยทำหน้าที่รับและส่งสัญญาณ
ขึ้นไปบนดาวเทียม ที่โคจรอยู่สูงจากพื้นโลก 22,300 ไมล์
โดยดาวเทียมเหล่านั้นจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่เท่ากับการหมุนของโลก
จึงเสมือนกับดาวเทียมนั้นนิ่งอยู่กับที่ขณะที่โลกหมุนรอบตัวเอง
ทำให้การส่งสัญญาณไมโครเวฟจากสถานีหนึ่งขึ้นไปบนดาวเทียมและการกระจายสัญญาณ
จากดาวเทียมลงมายังสถานีตามจุดต่างๆ บนผิวโลกเป็นไปอย่างแม่นยำ
เราสามารถส่งดาวเทียมชนิด Geostationary
ซึ่งหมุนโคจรด้วยความเร็วเท่ากับโลก โดยนำขึ้นไปโคจรเหนือผิวโลกเพียง 3 ดวง
ก็สามารถครอบคลุมการสื่อสารได้ทั่วโลก
ดาวเทียมดวงหนึ่งส่งสัญญาณในบริเวณกว้างเท่ากับ 1 ใน 3 ของโลก (120 องศา)
ดังนั้นดาวเทียมเพียง 3 ดวงก็คลอบคลุมบริเวณพื้นโลกได้ทั้งหมด (360 องศา)
ดาวเทียมสามารถโคจรอยู่ได้โดยอาศัยพลังงานแสงอาทิตย์ โดยแผงโซลาร์ (Solar
Cell) บนดาวเทียมจะรับพลังงานจากแสงอาทิตย์มาเปลี่ยนใช้งาน
ข้อดีและข้อเสียของระบบดาวเทียม
ข้อดี
1. ส่งสัญญาณครอบคลุมไปยังทุกจุดของโลกได้
2. ค่าใช้จ่ายในการให้บริการส่งข้อมูลของระบบดาวเทียมไม่ขึ้นอยู่กับระยะทางที่ห่างกันของสถานีพื้นดิน
ข้อเสีย
มีเวลาหน่วง (Delay Time) ในการส่งสัญญาณ
|
|
ดาวเทียม (Satellite)
ได้รับการพัฒนาขึ้นมาเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดของสถานีรับ-ส่งไมโครเวฟบนผิว
โลก
วัตถุประสงค์ในการสร้างดาวเทียมเพื่อเป็นสถานีรับ-ส่งสัญญาณไมโครเวฟบนอวกาศ
และทวนสัญญาณในแนวโคจรของโลก
ในการส่งสัญญาณดาวเทียมจะต้องมีสถานีภาคพื้นดินคอยทำหน้าที่รับและส่งสัญญาณ
ขึ้นไปบนดาวเทียม ที่โคจรอยู่สูงจากพื้นโลก 22,300 ไมล์
โดยดาวเทียมเหล่านั้นจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่เท่ากับการหมุนของโลก
จึงเสมือนกับดาวเทียมนั้นนิ่งอยู่กับที่ขณะที่โลกหมุนรอบตัวเอง
ทำให้การส่งสัญญาณไมโครเวฟจากสถานีหนึ่งขึ้นไปบนดาวเทียมและการกระจายสัญญาณ
จากดาวเทียมลงมายังสถานีตามจุดต่างๆ บนผิวโลกเป็นไปอย่างแม่นยำ
เราสามารถส่งดาวเทียมชนิด Geostationary
ซึ่งหมุนโคจรด้วยความเร็วเท่ากับโลก โดยนำขึ้นไปโคจรเหนือผิวโลกเพียง 3 ดวง
ก็สามารถครอบคลุมการสื่อสารได้ทั่วโลก
ดาวเทียมดวงหนึ่งส่งสัญญาณในบริเวณกว้างเท่ากับ 1 ใน 3 ของโลก (120 องศา)
ดังนั้นดาวเทียมเพียง 3 ดวงก็คลอบคลุมบริเวณพื้นโลกได้ทั้งหมด (360 องศา)
ดาวเทียมสามารถโคจรอยู่ได้โดยอาศัยพลังงานแสงอาทิตย์ โดยแผงโซลาร์ (Solar
Cell) บนดาวเทียมจะรับพลังงานจากแสงอาทิตย์มาเปลี่ยนใช้งาน
ข้อดีและข้อเสียของระบบดาวเทียม
ข้อดี
1. ส่งสัญญาณครอบคลุมไปยังทุกจุดของโลกได้
2. ค่าใช้จ่ายในการให้บริการส่งข้อมูลของระบบดาวเทียมไม่ขึ้นอยู่กับระยะทางที่ห่างกันของสถานีพื้นดิน
ข้อเสีย
มีเวลาหน่วง (Delay Time) ในการส่งสัญญาณ
|